ซาตาน และ เทวดา ในคนเดียวกัน … มาราโดนา VS อังกฤษ

กล่าวกันว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 มันคือทัวร์นาเมนต์โชว์ของ “ดิเอโก้ มาราโดนา” ตำนานลูกหนังขึ้นหิ้งของทีมชาติอาร์เจนตินา และสโมสรนาโปลีเลยก็ว่าได้ โดยในทัวร์นาเมนต์ปี 1986 มันคือช่วงเวลาที่ มาราโดนา ในวัย 25 ปีนั้นกำลังพีคสุดๆเลยทีเดียว เพราะเขาสามารถคว้าแชมป์เซเรียอาร่วมกับทีม นาโปลี สำเร็จ แถมการที่เขาพาทีม นาโปลี ที่เป็นสโมสรเล็กๆหาญกล้าท้าทายทีม ยูเวนตุส กับ เอซี มิลาน จนคว้าแชมป์ เซเรียอาได้สำเร็จนั้นมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน แต่ว่าหมายเลข 10 รายนี้สามารถทำได้ !
และการที่อาร์เจนตินา จะมาชิงแชมป์โลกที่ประเทศเม็กซิโกครั้งนี้ มันคือการแก้ตัวจากเมื่อครั้งที่พวกเขาไปทำศึกฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปนเป็นเจ้าภาพเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่ว่านี้ มาราโดนาในวัย 21 ปีกำลังอยู่ในวัยห้าวเป้ง แถมยังโดนใบแดงในเกมที่พ่ายแพ้ บราซิล ด้วยสกอร์ 3-1 แถมทีมก็ตกรอบโดยหมดโอกาสไปป้องกันแชมป์โลกหลังจากที่พวกเขาเคยได้แชมป์โลกมาก่อนในปี 1978 ในการสู้ศึกใหญ่นี้ อาร์เจนตินา จะต้องหาทางคว้าแชมป์โลกกลับไปยังมาตุภูมิให้ได้ !
ในทัวร์นาเมนต์นี้ มาราโดนา สามารถพาทีมคว้าแชมป์โลกได้ด้วยตัวของเขาเองเพรียวๆ เขาคือกัปตันหมายเลข 10 คนล่าสุดของทีมชาติอาร์เจนตินาที่ได้ชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก แถมยังสร้างสถิติในทัวร์นาเมนต์นี้ด้วยการยิงไป 5 ประตู (เป็นรองดาวซัลโวของรายการ) และยังจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูอีก 5 แอสซิสต์อีกด้วย คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์อีกต่างหาก แต่ว่า 2 ใน 5 ประตูที่มาราโดนาทำได้นั้น มันคือประตูที่ถูกเรียกว่าเป็น “ประตูซาตาน” และ “ประตูเทวดา” ที่เป็นที่โจษจันเป็นอย่างมากในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 แล้วมันก็เป็นตำนานยาวมาจนถึงทุกวันนี้เลยก็ว่าได้
ในเกมการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้ายนั้น อาร์เจนตินา มีโอกาสได้สู้กับทีมชาติอังกฤษที่มีดีกรีเป็นแชมป์โลก 1 สมัยเหมือนกับฝั่งของ มาราโดนา และยังเต็มไปด้วยสตาร์นักเตะชั้นนำมากมายเต็มทีมไปหมด ! อังกฤษมีนักเตะฝีเท้าดีหลายคนอยู่ในทีม พวกเขามี ปีเตอร์ ชิลตัน เป็นผู้รักษาประตู , เทอร์รี่ บุชเชอร์ กองหลังที่มีหน้าที่ตามประกบมาราโดนา , ไบรอัน ร็อบสัน และ เกล็น ฮอดเดิ้ล สองจอมทัพประจำทีม แถมในแนวรุกยังมี คริส วอดเดิ้ล กับ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ เป็นตัวป้อนบอลให้กับ แกรี่ ลินิเกอร์ ที่ยิงไปแล้ว 5 ประตูคอยซัลโว
ในเกมนี้ จากนักข่าวของเว็บ ให้ข้อมูลว่า เกมครึ่งแรกนั้นสุดแสนจะตึงเครียด เพราะสกอร์ยังเสมอกันอยู่ 0-0 แคต่มันก็ค่อนข้างดุเดือดอย่างมากเช่นกัน เพราะกล่าวกันว่านักเตะสองทีมนั้นสู้กันราวกับว่ากำลังทำสงครามแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์คแลนด์เลยทีเดียว แต่พอเข้าถึงช่วงครึ่งหลังเท่านั้น ในจังหวะที่ มาราโดนวิ่งเข้าไปบวกกับ ชิลตัน บอลที่กำลังลอยโด่งนับเป็นวินาทีได้นั้น มาราโดนา อาศัยร่างเตี้ยๆของตัวเองชูแขนซ้ายขึ้นเต็มเหยียดแล้วชกบอลเข้าไปใต้ลูกเต็มกำปั้น ส่งบอลย้อยข้ามหัวของ ชิลตัน เข้าประตูไปซะแบบนั้น แถมมาราโดนาเองก็ตีเนียนว่าตัวเองโหม่งได้ก็วิ่งไปเฮกับแฟนบอลและเพื่อนทันที
ฝั่งของนักเตะอังกฤษและ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผู้จัดการทีมนั้นก็โวยใส่กรรมการกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายนั้นกรรมการก็ยังยืนยกรานว่า มาราโดนาทำประตูโดยถูกต้องตามกติกา ไม่ได้แฮนด์บอล ! ท่ามกลางความฉุนของนักเตะอังกฤษที่ซึ่งยังเรียกสติกลับคืนมาไม่ได้ มันเลยทำให้พวกเขาเสียสมาธิ และเมื่อเสียประตู “ซาตาน” ไปแล้ว 1 ประตู พวกเขาก็ต้องเจอกับสิ่งที่อยู่รงข้ามกับซาตานอีกสักหน่อย นั่นก็คือ “ประตูเทวดา” มาราโดนา ที่ได้ครองบอลในบริเวณวงกลมกลางสนาม เยื้องมาในโซนเขตแดนของฝั่งตัวเอง จัดการใช้ซ้ายพิฆาตของเขาแตะบอลเลี้ยงตะลุยแหกด่าน โดยเลี้ยงบอลหลบนักเตะของอังกฤษถึง 5 รายกว่าครึ่งสนามจนพาบอลเข้าไปในเขตโทษได้ และเขายังล็อกหลบตัวของ ปีเตอร์ ชิลตัน จากนั้นก็แปบอลด้วยซ้ายเข้าประตูที่ไม่มีใครเฝ้าเข้าไปอย่างเด็ดขาด
มันคือประตูที่สวยที่สุดในฟุตบอลโลก และสวยที่สุดในศตวรรษ เผลอๆจะสวยที่สุดตลอดกาลเท่าที่มีฟุตบอลบนโลก เขาวิ่งไปดีใจที่มุมธง แม้ว่าหลังจากนั้น จอห์น บาร์นส์ จะเปิดบอลให้ ลินิเกอร์ยิงประตูปลอบใจให้อังกฤษ และมันทำให้ ลินิเกอร์ คว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดมาได้ แต่อังกฤษก็ทำได้แค่ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
หลังจากจบเกมนั้น บ็อบบี้ ร็อบสัน ก็ได้กล่าวกับสื่อว่า ลูกยิงของ มาราโดนา มันคือการยิงของอัจฉริยะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ปู่ร็อบสันยังหัวร้อนและกล่าวว่าการโซโล่กว่าครึ่งสนามเข้าไปยิงอังกฤษนั้นมันไม่ได้สวยตรงไหน … ในปัจจุบัน แฟนบอลก็ยังคงทึ่งและเปิดชมการโซโล่เข้าไปยิงของมาราโดนาผ่านทาง YouTube เช่นเดิม รวมถึง … “แฮนด์ ออฟ ก็อด” ในตำนานด้วย