7 ประเด็นชี้ชัด “รัสเซีย 2018” คือฟุตบอลโลกที่เจ๋งที่สุด
ปิดฉากรูดม่านกันไปแล้วสำหรับ ฟุตบอลโลก 2018 ที่ รัสเซีย แม้กระแสในบ้านเราอาจจะดูไม่คึกคักเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือมหกรรมกีฬาอันยิ่งใหญ่และเป็นที่สนใจของคนทั้งโลกมากที่สุดตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่าคนปัจจุบันถึงกับออกมาให้คำนิยามถึงการแข่งขันที่พึ่งผ่านพ้นไปว่า “เป็นฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” เราลองมาไล่เรียงกันว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้คำพูดดังกล่าวดูมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย
สิงโตคำรามกึกก้อง
นี่คงเป็นช่วงหน้าร้อนอันแสนสดใสสำหรับแฟนๆทีมชาติอังกฤษ มันเป็นช่วงเวลาที่คนทั้งประเทศหันกลับมาสนับสนุนทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต อย่างพร้อมเพรียงกัน “Three Lions” เพลงเชียร์ประจำทีมของพวกเขากลับขึ้นมาผงาดอยู่ในท็อปชาร์ต พร้อมกับประโยค “It’s Coming Home” ที่แพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง
เหล่ากองเชียร์แดนผู้ดียังได้ฉลองกันอย่างบ้าคลั่งหลังเห็นทีมรักล้างอาถรรพ์ด้วยการดวลจุดโทษชนะในรายการนี้เป็นครั้งแรกจากเกมส์รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ โคลอมเบีย และนับจากนาทีนั้นก็ทำให้ เสื้อโค้ทของ เซาธ์เกต, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ หรือ “ไอ้หัวโต” ตามสมญานาม ที่ เจมี่ วาร์ดี้ ตั้งให้ รวมถึงมือขวาของ จอร์แดน พิคฟอร์ด กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของประเทศ แม้ความฝันอันเรืองรองของพวกเขาจะดับสลายไปจากการแผลงฤทธิ์ของ มาริโอ มานด์ซูคิช ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมส์นัดตัดเชือก แต่บรรดาแฟนๆที่ตามไปเชียร์ถึง รัสเซีย ก็พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับนักเตะหลังจบเกมส์เพื่อแสดงความขอบคุณในการนำความภาคภูมิใจกลับคืนมาให้พวกเขาอีกครั้ง
มหกรรมดราม่ากับประตูท้ายเกมส์
แม้เกมส์นัดเปิดสนามด้วยชัยชนะ 5-0 ของทีมเจ้าภาพเหนือ ซาอุดิอาระเบีย ดูจะเป็นการเปิดตัวที่คึกคักสำหรับแฟนๆ แต่หนึ่งในไฮไลท์เด็ดสำคัญของทัวร์นาเมนต์อยู่ที่แมตช์สุดท้ายคือวันถัดไป เมื่อโคตรทีมอย่าง สเปน โคจรมาพบกัน โปรตุเกส แชมป์ยูโรรายล่าสุด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดคนเดียว 2 ประตูเพื่อช่วยให้ ทีมฝอยทอง ขึ้นนำคู่แข่ง 2 ครั้ง 2 ครา แต่หลังจากโดนลูกยิงผีจับยัดของ นาโช่ ก็ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาตกเป็นรอง จนกระทั่งจุดพีคของเกมส์มาปะทุถึงขีดสุดในช่วงท้าย เมื่อ CR7 มีโอกาสได้ตะบันลูกฟรีคิกจากนอกกรอบและไล่ตามตีเสมอ ทีมกระทิงดุ ได้ในนาทีที่ 88 ก่อนจะแบ่งแต้มกันไปอย่างสุดระทึก
แฮร์รี่ เคน ก็เป็นผู้ที่ช่วยให้ อังกฤษ เก็บ 3 คะแนนในนัดแรกได้กับ ตูนิเซีย จากลูกโหม่งจ่อๆในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่พวกเขาจะมาโดนคืนบ้างจากลูกโขกตีเสมอของ เยอร์รี่ มิน่า ตอนนาทีที่ 93 ในรอบน็อคเอาท์กับ โคลอมเบีย นอกจากนี้ก็ยังมีลูกฟรีคิกที่ยิงใส่ สวีเดน ของ โทนี่ โครส ที่ทำให้ เยอรมัน ยังมีลุ้นต่อชั่วคราวในรอบแบ่งกลุ่ม หรือจังหวะใส่เต็มข้อของ มาร์กอส โรโฮ ในเกมส์กับ ไนจีเรีย ที่ช่วยเซฟหน้าตาของ อาร์เจนติน่า ว่าอย่างน้อยก็ยังเอาตัวรอดผ่านเข้าไปยังรอบน็อคเอาท์ได้ หรือประตูจากระยะเผาขนของ นาเซอร์ ชาดลี่ ที่ช่วยให้ เบลเยี่ยม คัมแบ็คกลับมาได้แบบเหลือเชื่อในนัดที่เจอกับ ญี่ปุ่น
VAR เทคโนโลยีผู้ช่วย(?)
“ผมรู้สึกรับไม่ค่อยได้ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเราพ่ายแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่า แต่มันเหมือนจะเป็นเพราะผลจากเทคโนโลยีซะงั้น” แม็ต ไรอัน ผู้รักษาประตูชาวออสเตรเลีย ระบายความรู้สึกอัดอั้นออกมาหลังพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ในนัดแรก เนื่องจากทีมของเขาเสียจุดโทษจากการช่วยตัดสินของ VAR ถ้าจะหาประเด็นให้ชวนถกเถียงไม่แพ้กันก็คงหนีไม่พ้นเกมส์นัดสุดท้ายในรอบแรกระหว่าง โปรตุเกส กับ อิหร่าน เมื่อมีการใช้ VAR ตัดสินให้ลูกจุดโทษแก่ฝ่ายแรก หลัง โรนัลโด้ ถูก มอร์เตซา ปูราลิกานจี เบียดล้มในกรอบ 18 หลา ที่แม้ลูกยิงของ โรนัลโด้ จะถูกป้องกันเอาไว้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน กัปตันทีมฝอยทอง กลับรอดพ้นการถูกไล่ออกจากสนามแม้ภาพรีวิวจาก VAR จะค่อนข้างชัดเจนว่าเขาตั้งใจฟาดแขนไปโดน ปูราลิกานจี คู่กรณีเดิม เรื่องราวระหว่างคู่นี้ยังไม่จบอยู่แค่นั้น ในช่วงท้ายเกมส์ อิหร่าน ก็มาได้ลูกจุดโทษคืน เมื่อผู้ตัดสินหันไปพึ่งพา VAR ก่อนจะชี้ชัดว่า เซดริก ซัวเรซ ทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ และก็เป็น คาริม อันซาริฟาร์ด รับหน้าที่ยิงตีเสมอ แต่สุดท้ายก็เป็น โปรตุเกส ที่ผ่านเข้ารอบไปโดยที่ อิหร่าน ก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน
VAR ยังมามีบทบาทสำคัญในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อ เนสเตอร์ ปิตาน่า สิงห์เชิ้ตดำชาวอาร์เจนติน่าตัดสินใจเป่าให้ ฝรั่งเศส ได้ลูกจุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอลของ อิวาน เปริซิช หลังวิ่งออกไปเช็คภาพช้ากับ VAR ที่ข้างสนาม ท้ายที่สุดแล้วจังหวะปัญหาส่วนใหญ่ก็ได้รับการตัดสินที่เที่ยงตรงขึ้น ในขณะที่ แกรี่ เนวิลล์ ก็ได้พูดถึงเทคโนโลยีนี้ว่า “ยังไม่สมบูรณ์แบบ” และแนวทางการประยุกต์ใช้ยังต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอีก แต่อย่างน้อยๆก็ยังถือว่า VAR สอบผ่านและคู่ควรที่จะมีการพัฒนาใช้งานต่อไปในอนาคต
ทีมเต็งหมดสภาพ
จากฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ บราซิล กลับกลายมาเป็นสมันน้อยใน รัสเซีย การกระเด็นตกรอบแรกของ เยอรมัน ทีมแชมป์เก่าก็กลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรง ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น ทีมของ โยอาคิม เลิฟ เป็นหนึ่งในตัวเต็งของรายการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สุดท้ายพวกเขากลับพ่ายแพ้ให้กับ เม็กซิโก และ เกาหลีใต้ ไปแบบสิ้นลาย “พวกเราต้องร่วมกันรับผิดชอบ หากพวกเราจะโดนประนามก็ต้องโดนประนามไปพร้อมๆกัน” มานูเอล นอยเออร์ ออกมายืดอกยอมรับชะตากรรมของพวกเขา เว็บพนันชั้นนำต่างทำกำไรกันยกใหญ่ FIFA55 WillHill 365BET และอีกหลายค่าย ฝั่งของสเปน ก็เป็นอีกหนึ่งทีมดังที่ต้องหลุดวงโคจรไปตั้งแต่รอบ 16 ทีมหลังพ่ายแพ้การดวลจุดโทษกับ รัสเซีย ทีมเจ้าภาพ และการพ่ายแพ้ของ บราซิล ให้กับ เบลเยี่ยม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายอาจไม่ใช่เรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์อะไรนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้บรรดาเต็งจ๋าทั้งหลายไม่มีใครหลุดเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศเลยซักราย แต่ในขณะที่ทีมม้ามืดอย่าง โครเอเชีย กลับสร้างผลงานได้อย่างประทับใจ และพวกเขายังกลายเป็นทีมที่มีอันดับ ฟีฟ่า แรงกิ้ง ต่ำที่สุด (20) ที่ได้ผ่านเข้าไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ในการเดินทางมา รัสเซีย ของ อียิปต์ รอบนี้ แม้พวกเขาจะควานหาชัยชนะไม่เจอและยิงประตูได้ไม่มากก็ตาม แต่ เอสซัม เอล-ฮาดารี ผู้รักษาประตูวัยดึกของทีมก็ได้สร้างสถิติใหม่ของ เวิลด์ คัพ ขึ้นมา หลัง นายด่านวัย 45 ปี ได้รับโอกาสลงทำหน้าที่ในเกมส์นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับ ซาอุดิอาระเบีย และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดที่ได้ลงสนาม การออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในนัดส่งท้ายของทีมพร้อมสร้างสถิติใหม่ดูจะยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เอล-ฮาดารี ยังโชว์ฟอร์มเซฟจุดโทษในเกมส์ได้อีกด้วย แม้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะยังตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ ทีมเศรษฐีน้ำมัน ก็ตาม
แม้จะเป็นเพียงทีมนอกสายตา แต่การเก็บ 3 คะแนนเต็มจาก โมร็อกโก ได้ในนัดแรกก็เป็นการจุดประกายความหวังอันยิ่งใหญ่ให้กับ อิหร่าน ซึ่งพวกเขาต้องขอบคุณ อาซิซ บูฮัดดูซ แข้งสำรองฝั่งตรงข้ามที่โหม่งผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 90+5 ในขณะที่ทางฝั่ง อิหร่าน ไม่ได้มีโอกาสลุ้นสับไกเลยในช่วงครึ่งเวลาหลัง เลยทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ปี 1966 ที่ทำประตูได้ในช่วงเวลา 45 นาทีโดยที่ไม่มีโอกาสยิงตรงกรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว อาจเป็นเรื่องที่ดูแปลกๆสำหรับบางทีมที่พากันเฉลิมฉลองหลังการพ่ายแพ้ 6-1 แต่มันเป็นข้อยกเว้นสำหรับ ปานามา ที่เริ่มต้นขีดเขียนประวัติศาสตร์ใน ฟุตบอลโลก ของตนเอง ในขณะที่แฟนบอลของ อังกฤษ อาจกำลังน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มหลังเห็นนักเตะของตนกระหน่ำไปถึง 6 ประตู แต่กองเชียร์ฝั่งตรงข้ามก็คงบ่อน้ำตาแตกไม่แพ้กันหลัง เฟลิเป้ บาลอย แข้งจอมเก๋าของทีม สามารถยิงประตูประวัติศาสตร์ในช่วงท้ายเกมส์ได้จากจังหวะเซ็ตพีซและทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ของประเทศในทันที
เทพองค์ใหม่ลงมาจุติ
ลีโอเนล เมสซี่, โรนัลโด้ และ เนย์มาร์ อาจไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดใหญ่หลวง พวกเขาต่างก็มีโมเมนต์ที่น่าจดจำในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่สำหรับฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดเราได้เห็นโฉมหน้าของซุปตาร์สายเลือดใหม่ที่พร้อมจะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าในไม่ช้านี้ นั่นก็คือ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวโรจน์วัย 19 ปีชาวฝรั่งเศส ฉายแสงเปล่งประกายวาววับตลอดทั้งรายการ หลายคนคงยังไม่ลืมว่าเขาคือผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 อยู่ในขณะนี้ หลังใช้เวลาเพียง 2 ปีหลังก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพให้กับ โมนาโก และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตามลำดับ ด้วยผลงานในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ อาร์เจนติน่า ก็ยิ่งตอกย้ำให้ใครๆเห็นถึงความคุ้มค่าของราคา 166 ล้านปอนด์ที่ เปแอสเช ยอมทุ่มให้กับ โมนาโก โดยล่าสุดเจ้าตัวยังตกเป็นข่าวกับ เรอัล มาดริด ที่หวังจะดึงตัวเขาเข้าไปทดแทนการจากไปของ โรนัลโด้ นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้เห็น เมสซี่ และ โรนัลโด้ ใน เวิลด์ คัพ แต่ด้วยวัยเพียง 26 ปีน่าจะทำให้ เนย์มาร์ มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึง โรเมลู ลูกากู, แฮร์รี่ เคน และ เอ็มบัปเป้ ซึ่งคงทำให้เราสบายใจได้ว่า อีก 4 ปีข้างหน้าก็ยังจะมีเกมส์ฟาดแข้งที่อุดมไปด้วยยอดแข้งระดับเวิลด์คลาส
แฟนบอลชื่นมื่น
หากพูดถึงเรื่องความปลอดภัยและกลุ่มแฟนบอลหัวรุนแรง ก็อาจหมายถึงการดับโอกาสแฟนบอลแดนผู้ดีบางกลุ่ม แต่ รัสเซีย ก็ทำหน้าที่ของการเป็นเจ้าภาพได้อย่างน่าชมเชย จนได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นประสบการณ์ของแฟนๆที่ดูแล้วชวนอบอุ่น กลุ่มกองเชียร์จากอเมริกาใต้เดินทางมาด้วยรถยนต์ของพวกเขา แฟนบอลชาวเซเนกัลมาพร้อมขบวนแห่ที่เต็มไปด้วยสีสัน รวมถึงกองเชียร์ชาวญี่ปุ่นที่อยู่คอยทำความสะอาดบริเวณที่นั่งหลังเกมส์ ในขณะที่ทีมเจ้าถิ่นที่สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการผ่านเข้าไปจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมดูคึกคัก บรรยากาศแห่งความสุขอบอวลไปทั่วทั้ง อังกฤษ แม้พวกเขาจะพลาดโอกาสตบเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แต่เชื่อได้เลยว่าในเวลานี้ความชอกช้ำหลังถูก ไอซ์แลนด์ เขี่ยตกรอบน็อคเอาท์ ยูโร 2016 คงถูกลบเลือนไปจนแทบหมดสิ้น
ไคล์ วอล์คเกอร์ ได้โพสต์บรรยายความรู้สึกของเขาไว้ว่า “เราถูกเชื่อมโยงเข้ากับแฟนๆ และผมหวังว่าพวกเขาจะรับรู้ได้ว่าเรากำลังพยายามทำให้พวกเขาภาคภูมิใจ”